เดินเล่นชิลๆที่ สะพานโกลเด้นเกท ท่ามกลางสายหมอก ณ เมืองซานฟรานซิสโกกัน

0
8718
สะพานโกลเด้นเกท 4

เราตั้งใจจะมาเที่ยวเมืองซานฟรานซิสโกเป็นที่สุดท้าย ก่อนจะบอกลาอเมริกาแล้วแพ็คกระเป๋ากลับเมืองไทยถาวร เพราะเราอยากมา ณ ที่แห่งนี้แหละ สะพานโกลเด้นเกท นั่นเอง เรามีความหลังฝังใจสมัยเป็นเด็กมัธยมผมเปียตอนที่ได้ฟังเพลง Because of you ของวง 98 degree ผ่านช่อง Chanel V และ MTV ซึ่งเป็นเพลงที่ดังมากๆในยุคนั้น ที่มีนักร้องผู้ชาย 4 คน กล้ามล่ำๆ มาร้องเพลงให้ฟัง พร้อมกับมีภาพบรรยากาศเป็นฉากของสะพานแห่งนี้ ใครอายุไม่ถึง 30 อาจจะตามป้าไม่ทันนะคะ แต่เอาเป็นว่าที่สะพานแห่งนี้มันสวยเด่น และยิ่งใหญ่มากแถมยังมีประวัติการสร้างอันน่าทึ่งสุดๆ ตามมาเที่ยวกันเลยดีกว่า

Golden Gate Bridge หรือ สะพานโกลเด้นเกท คือสะพานแขวนที่เชื่อมพื้นที่ ระหว่างเมืองซานฟรานซิสโกและเมืองมารินเคาน์ตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ข้ามผ่านระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและอ่าวซานฟรานซิสโก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนให้ความเห็นว่าคงไม่มีใครสามารถสร้างสะพานที่มีความยาวขนาด 2,042 เมตร ที่ต้องมีทั้งความแข็งแรง ทนทานต่อกระแสน้ำได้ แถมยังต้องต้านทานกระแสลมแรงได้ด้วย เพราะพื้นที่ที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของปากอ่าวกับมหาสมุทร นอกจากนี้ทั้งลมและหมอกหนาก็จะเป็นอุปสรรคในการสร้างสะพานแห่งนี้อย่างแน่นอน แต่สุดท้ายแล้วสะพานโกลเด้นเกทก็สร้างเสร็จและเปิดให้ใช้งานมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1937

สะพานโกลเด้นเกท 12

ตัดภาพกลับมาที่ความจริง เรานั่งรถบัสมาจาก Golden Gate Park ใช้เวลาประมาณ 10 นาที รถก็มาจอดที่สะพาน โอ้ว คนเยอะแยะมากมาย ที่นี่นับว่าเป็นจุดศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเมืองนี้เลยก็ว่าได้ มีทั้งคนเอเชีย ฝรั่ง ละติน มีทุกแนว ทุกเชื้อชาติ เราเดินสำรวจบริเวณรอบๆ ก่อน แถวนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญของการท่องเที่ยว มีทุกอย่างครบตั้งแต่ จุดจอดรถบัส tourist information คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก (เราหมดไปเกือบ $60) และห้องน้ำกล่องไว้คอยให้บริการ ที่บริเวณก่อนทางขึ้นสะพาน เค้าทำเป็นป้ายบอกเล่าประวัติความเป็นมา วิธีการสร้างสะพานแห่งนี้ และยังมีอุปกรณ์จำลองตัวสะพาน ว่าเค้ามีหลักการในการต้านแรงลมจากธรรมชาติได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้มีเด็กๆให้ความสนใจกันอย่างมาก เราก็ด้วยคนนึง ความรู้สึกเหมือนกำลังทดลองวิทยาศาสตร์แต่อยู่ในพื้นที่แจ้ง เก๋ไปอีกแบบ

สะพานโกลเด้นเกท 13

พอเรากวาดสายตามองไปที่สะพานที่เราใฝ่ฝันหามาตั้งแต่เด็ก เหย ทำไมเห็นแค่ครึ่งเดียวเองอ่ะ เวลานี้ดันมีหมอกมาบังซะอย่างนั้น เสียใจ เราอุตส่านั่งรถไฟข้ามมาจากชิคาโกที่อยู่ฝั่ง Mid-West มายังอีกฝั่งนึงของประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อที่นี่เลยนะ เอาเถอะ ก็เมืองนี้เค้าได้ชื่อว่าเมืองแห่งสายหมอก มันก็ต้องมีบ้างที่จะเจอกับสภาพอากาศแบบนี้ ไหนๆก็มาถึงละ ก็ต้องถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เก็บทุกมุม กดชัตเตอร์ไปเป็นร้อย คือเป็นจุดหมายที่อยากมาเที่ยวมากในอเมริกา รองลงมาจากนิวยอร์กซิตี้ เออคือชอบอ่ะ ดีทุกอย่างเลย เหลือแค่ความโชคดีนี่แหละที่ไม่มี

สะพานโกลเด้นเกท 11

แล้วเราก็เดินต่อไปที่จุดชมวิว เห็นวิวสะพานเกือบทั้งหมด และเห็นหอคอยทั้งสองอันเป็นสีแดงส้ม ตัดกับพื้นน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม และท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนๆ หูย สวยอะไรเบอร์นี้ ถึงจะมีหมอกลงแต่ก็ยังคงความงามไว้ได้ ถ้ามองไปทางด้านขวาอีกนิด จะเห็นเกาะที่มีคุกอัลคราทราสอันลือลั่นอยู่ไกลๆด้วย

ด้วยความที่มาคนเดียว เลยไม่สามารถถ่ายรูปดีๆของตัวเองกับวิวได้เลย เราเลยต้องขอความอนุเคราะห์จากคนแถวนั้นนิดนึง โดยใช้มุกนี้ Do you need help? ยูๆ ชั้นถ่ายรูปให้มั้ย นางมากันเป็นแก๊งเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี เค้ารีบยื่นกล้องให้เลย พอถ่ายให้เค้าเสร็จ เราก็แบบ Can you take my picture? Thanks ช่วยถ่ายให้ชั้นบ้างสิ ขอบใจมากนะ

หลังจากที่ได้ภาพอันพึงพอใจแล้ว เราก็ขอไปเดินสำรวจอีกด้านของสะพาน เห็นว่ามีจักรยานขับผ่านทางนั้นเยอะเลยเดินตามเค้าไปบ้าง เดินไปจนถึงเส้นทางข้ามสะพานที่อยู่ทางซ้ายมือ มองไปที่ทะเลก็เห็นทั้งเมฆหมอกครึ้ม และความน่ากลัวของคลื่นลมรุนแรง เราเดินขึ้นสะพานไป กดชัตเตอร์ไป ก็มีแต่เสียงแตรจักรยานบอกให้หลีกทาง นี่ก็งง เค้าควรจะหลบเราสิ ไม่ใช่เราต้องหลบเค้า แล้วพอลองสังเกตุดีๆก็เห็นว่าทำไมคนอื่นเค้าไม่มีใครเดินทางนี้เลยอ่ะ จนได้ยินเสียงแตรจักรยานอีกคันนึง พร้อมทั้งบอกว่า ยู นี่มันทางจักรยานนะ ถ้าจะเดินอ่ะ ไปเดินฝั่งนู้น นาทีนั้นก็ร้องอ๋อเลย กุโง่เองค่ะ ขอโทษด้วย

สะพานโกลเด้นเกท 10

เราเลยเดินต้านลมกลับไปที่เดิม เพื่อจะข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งนึง พอได้ลองก้าวขาขึ้นสะพานปุ๊บ บร๊ะเจ้า ลมแรงมากกกก โอ๊ยจะปลิว นอกจากตัวจะปลิวแล้ว ไอ้เจ้ามือถือที่หยิบขึ้นมาถ่ายก็จะปลิวตาม มีความอ่อนไหวตามสายลมตลอดเวลา ต้องจับไว้ให้แน่นเลยอ่ะ ถ้าปลิวหล่นทะเลไปจริงๆนี่คงมีน้ำตาแน่ๆ

เดินไปถ่ายรูปไป ลมตีหน้า ผมเผ้ากระเซิงหมด อยากจะเซลฟี่ตัวเอง เห็นสภาพที่คอนโทรลไม่ได้ก็คิดว่า เออ ไม่ถ่ายก็ได้วะ ถ่ายแต่วิวก็ได้ ตอนนี้อากาศประมาณ 11 องศาเซลเซียส หนาวก็หนาวแต่ต้องทน ยิ่งเดินไปเรื่อยๆยิ่งเห็นถึงความใหญ่โต อลังการงานสร้าง ที่เคยดูในสารคดีคือเก็ทเลยอ่ะ ตอนสร้างคือมันต้องทนกระแสลมแรงได้ หูยก็ไม่คิดว่าลมมันจะแรงได้ขนาดนี้

ตอนมานี่พกหมวกสีดำคู่ใจสุดเก๋มาด้วย แต่ ณ จุดๆนี้ หมวกใบสวยนี่ต้องเก็บไว้เลย ทุกอย่างอาจจะปลิวหายไปกับสายลมได้ ระหว่างเดินก็เพลิดเพลินกับบรรยากาศมาก มองไป 2 ข้างทางเป็นทะเล มีเรือสีขาวล่องผ่านไปมาประปรายคือเก๋ไปอีก โรแมนติกสุดๆ มองไปทางขวาคือมีคุกอัลคาทราสอยู่ตรงนั้น สวยแบบลึกลับมากมาย ส่วนทางฝั่งซ้ายของเราเป็นถนนที่มีรถวิ่งผ่านตลอดเวลา ก็แอบเสียวเป็นระยะๆนะ

ด้วยความที่ลมแรงมาก ผมเผ้ากระเซิง เราจึงจัดแจงหยิบหนังยางขึ้นมามัดผม และหยิบหมวก Bean ขึ้นมาใส่แทน เพื่อเป็นการลดความระรานของเส้นผมที่มาพันใบหน้า ทำให้สามารถรื่นรมย์กับบรรยากาศบนสะพานได้สนุกมากขึ้นไปอีก ประสบการณ์เยอะก็งี้ เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์

สะพานโกลเด้นเกท 9

สะพานโกลเด้นเกท

สะพานโกลเด้นเกท 8

สะพานโกลเด้นเกท 7

สะพานโกลเด้นเกท 6

นี่พอเดินไปเรื่อยๆจนจะถึงหอคอยอันที่สองคือมันแดดออกอ่ะ เห็นสะพานทั้งอันชัดมาก พร้อมกับท้องฟ้าใสๆ หูย ดีใจเหมือนได้ตังหมื่นนึงเลยทีเดียว  เรารีบคว้าไอโฟนมาถ่ายรูปรัวๆ แล้วแบบลมก็แรงเกิ๊น พัดหมอกไปมาอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมัว แอร๊ย กดชัตเตอร์ตามไม่ทันค่ะ ต้องพยายามอย่างมากที่จะถ่ายให้ทันช็อตสำคัญ สวยๆ พอได้ภาพจนเป็นที่พอใจละ ก็เดินต่อจนไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง เราคิดในใจว่า เยสได้ทำแล้ว ชั้นเดินข้ามสะพานโกลเด้นเกทได้สำเร็จ อันที่จริงเวลาที่ใช้ในการเดินข้ามสะพาน ไม่เท่าไหร่นะ ครึ่ง ชม เอง แต่นี่เดินไป ชม นึง เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปมากไป

สะพานโกลเด้นเกท 5

สะพานโกลเด้นเกท 3

สะพานนี้เชื่อมสองฝั่งคือฝั่งเมืองซานฟรานซิสโก และเมืองมาริน เคาท์ตี้ เมื่อเราเดินมาถึงฝั่งมารินเคาท์ตี้ บริเวณนี้ก็เป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่ง มีอนุสรณ์สถาน และเป็นที่สำหรับจอดรถ และวนรถของรถทัวร์ Sightseeing ด้วย ส่วนเรานั้นตั้งใจแล้วว่าจะไม่เดินข้ามสะพานกลับไปอีกรอบแน่ๆ รู้สึกหมดแรงแล้ว เลยเปิด Google Map หาเส้นทางกลับไปยังที่พัก ตามแผนที่มันบอกว่ามีรถประจำทางอยู่ไกล แต่ทางที่มันบอกให้เดินนี่เสี่ยงตายมาก เราต้องเดินลงเขาไปซึ่งเป็นทางโค้งแล้วก็มีรถวิ่งผ่านตลอด มันไม่ใช่ทางสำหรับคนเดินเลย คนที่ขับรถผ่านไปก็ทำหน้างงว่านี่แกมาเดินอะไรตรงนี้ โอ๊ย ลุ้นแทบแย่ กลัวโดนรถสอยก่อนจะได้กลับเมืองไทย

เราเดินด้วยความระแวง ต้องคอยหลบรถตลอดเวลาจนเดินไปถึงจุดที่กูเกิ้ลบอก แล้วก็เห็นว่ามีคนรออยู่คนนึง เลยคิดว่านั่นเป็นป้ายรถบัสแน่นอน กุรอดละ เราก็ยืนรอรถไปเกือบครึ่งชั่วโมง ท่ามกลางอากาศหนาวๆ แล้วตรงนี้เป็นที่โล่งด้วยดิ ลมโกรกเว่อพัดแรงๆใส่หน้าตลอดเวลา เลย เริ่มคิดว่าเฮ่ย มันจะใช่ป้ายป่ะวะ เราเลยถามคนที่ยืนตรงนั้น ว่านี่มันใช่ป้ายรถเมล์มั้ย แล้วนี่รอสายอะไรอยู่ เค้าก็ตอบกลับมาว่ารอรถบัสสายนี้เหมือนกัน น่าจะมาแล้วแหละ เลยโอเค รอต่อไป จนสุดท้ายก็ได้ขึ้นรถ โล่งใจไปได้นิดนึงละ

บนรถนี่คนอย่างแน่น เราก็ทนๆยืนเบียดไป เรานั่งคันนี้เพื่อจะข้ามกลับไปยังฝั่งซานฟรานซิสโก แล้วก็จะต่อรถอีกคันเข้าไปในเมือง พอรถไปถึงฝั่งซานฟราน เราก็ลงแล้วก็นั่งรอรถสายที่จะไป คันแล้ว คันเล่า ทำไมไม่มาวะ มันมีจริงๆใช่มั้ยเนี่ย ก็เลยถามคนข้างๆเป็นหนุ่มยุ่น ท่าทางดูดีว่า ยูๆ รอรถสายอะไรหรอจ๊ะ พอเค้าตอบมาว่าเป็นคันเดียวกัน เลยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย รอต่อไปอีกสักพัก รถก็มา คนแน่นไม่แพ้คันเมื่อกี๊เลย ได้กลับที่พักซะที โอเคมิชชั่นวันนั้ คอมพลีททท

 

Location:  San Francisco, California and Marin County, California, U.S.

 

ขอสรุปเรื่องราวดังนี้

-เวลาที่ดีที่สุดในการชม สะพานโกลเด้นเกท >>> บ่าย 3 โมง บางคนก็บอกว่า 10 โมงเช้า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่วันและฤดูด้วยนะ

-ที่นี่ลมแรงมากๆ แนะนำให้พกหนังยางมัดผมมาด้วยสำหรับสาวๆนะจ๊ะ

 

วิธีการข้ามสะพานโกลเด้นเกท

1.เดิน ถ้าชอบเดินเล่น ก็แนะนำให้เดินข้ามสะพานได้เลย ไม่เสียตัง

2.ปั่นจักรยาน สามารถเช่าเป็นรายวัน หรือรายชั่วโมงก็ได้ >>> Biking

3.นั้งรถบัส Sightseeing 1 วัน จะขึ้นลงกี่รอบก็ได้ ราคา $45 >>> Bus

 

ประวัติการสร้างสะพาน >>> Golden Gate Bridge

ที่มาของการมาสัมผัสบรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้ >>> MV เพลง Because of you ของ 98 degree

สนใจ เรื่องราวในอเมริกา เพิ่มเติมทางนี้เลยจ้า