วันนี้ว่างๆ เลยได้มาเดินเล่น เที่ยวชิคาโก แบบชิลๆกันที่ Downtown หรือที่คนชิคาโกเรียกกันว่า Loop เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ มีทั้ง Landmark ดังๆอย่าง The Bean หรือ Cloud Gate, Millennium Park, พิพิธภัณฑ์ The Art Institute of Chicago และยังมีร้านอาหารบรรยากาศดีๆ อย่าง Cindy’s Rooftop มีห้างดังอย่าง Macy และมีช็อปเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าและอื่นๆอยู่ทั่วบริเวณ ให้ได้เลือกสนุกตามแต่ละไลฟ์สไตล์ไม่มีเบื่อ
เที่ยวชิคาโก ในเมืองทางนี้เลยจ้า
วันนี้เราขอเริ่มชิล เที่ยวชิคาโก ที่ถนน Michigan ตัดกับถนน Madison ซึ่งทางขวามือที่มีธงคือตึกของโรงเรียน Art Institute of Chicago ส่วนฝั่งตรงข้ามถนนจะเป็นพิพิธภัณฑ์ The Art Institute of Chicago ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว วันนี้ถือว่าอากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใสต้อนรับการมาเดินเล่นของเรา เริ่ดค่ะ
เมื่อหันไปทางซ้ายก็จะเจอกับตึกๆๆ และตึก ซึ่งถูกจัดวางกันได้อย่างน่ารักไม่แออัดจนเกินไป มีทั้งตึกที่เป็นสำนักงานและตึกสำหรับการพักอาศัย ส่วนเรื่องราคาคงไม่ต้องพูดถึง แพงมากๆ เพราะบรรยากาศที่ดูดี มองออกไปนอกหน้าต่างจะเจอกับทะเลสาบมิชิแกนสีฟ้าใสๆ คิดแล้วก็รู้สึกสดชื่นตาม
พอเราข้ามถนนมาอีกฝั่งก็จะเจอกับทางเดินไป Millennium Park ขอบอกว่าบริเวณนี้เป็นที่ที่เราชอบมากๆ เพราะเดินทางสะดวก ไม่ว่าจะมาทางรถบัสหรือรถไฟ แถมยังมีความแปลกตาให้ได้ตื่นเต้นตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสีของใบไม้เวลาที่ฤดูเปลี่ยน หรือบางครั้งก็มีต้นไม้ ดอกไม้สีสันสดสวยมาให้ชื่นชมอย่างเช่นช่วง Spring ก็จะมีการนำดอกทิวลิปสีสวยๆมาปลูกไว้เต็มบริเวณ มีเจ้าหน้าที่มาดูแลให้สวยงามอยู่เสมอไม่เคยขาด ส่วนที่เราเห็นตรงกลางภาพนั่นคือส่วนหนึ่งของ Jay Pritzker Pavilion เป็นเวทีการแสดงกลางแจ้งที่เริ่ดเลอมากๆในแง่ของงานออกแบบ และที่สำคัญคือที่นี่จะมีกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลาพฤษภาคมไปจนถึงเดือนกันยายนเท่านั้น เพราะที่นี่หน้าร้อนมีน้อยเหลือเกิน
The Bean หรือชื่อจริงๆคือ Cloud Gate ประติมากรรมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณ Millennium Park ทำจากวัสดุสแตนเลสสตีลมีรูปร่างคล้ายถั่ว เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่สุดของเมืองชิคาโกเลยก็ว่าได้ เพราะความประหลาดของรูปทรง ความเงามันของ The Bean ที่สามารถสะท้อนภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ให้กลายเป็นภาพทรงแปลกๆ บิดโค้งมนไปกับรูปทรงรีๆของถั่ว เลยกลายเป็นสิ่งดึงดูดให้คนจากทั่วอเมริกา และทั่วโลกมาเซลฟี่กันที่นี่ เป็นสถานที่ที่ไม่เคยร้างผู้คน ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหน เวลาไหน ฤดูอะไร ก็จะมีนักท่องเที่ยวมาแวะเวียนตลอดเวลา ขนาดว่าเรามาเดินเล่นในวันที่อากาศหนาวสุดๆแล้ว ก็ยังมีคนมาแวะถ่ายรูปกับ The Bean อยู่ไม่ขาดสาย
เดินต่อมาอีกนิดจาก The Bean จะเจอกับสะพาน Nichols Bridgeway ซึ่งเป็นทางเชื่อมลอยฟ้าระหว่างสวนสาธารณะ Millennium Park และพิพิธภัณฑ์ The Art Institute of Chicago ความเก๋อยู่ตรงที่เราสามารถเห็นวิวอันสวยงามของดาวน์ทาวน์เมืองชิคาโกแบบมุมสูง พูดเลยว่าดีมาก ถ้ามองไปด้านหน้าจะเจอทะเลสาบมิชิแกนสีฟ้าสดใส และหากมองย้อนกลับไปข้างหลังก็จะเจอกับวิวเมืองที่มีทั้งตึกสถาปัตยกรรมทรงโบราณและตึกโมเดิร์นสมัยใหม่อยู่รวมกันได้อย่างลงตัว เราชอบเรื่องการออกแบบผังเมืองของชิคาโกแบบสุดๆ ดูเป็นระเบียบ สะอาดตา และยังให้ความสำคัญกับพื้นที่เพื่อการผ่อนคลายให้กับชีวิตอีกด้วย
วิวกลางสะพานเมื่อหันหน้าเข้าเมือง ดูสวยคลาสสิคเนาะ ซึ่งตึกเหล่านี้จะมีทั้งธนาคาร ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม และโรงเรียนผสมกันไป มีอีกเรื่องที่น่าสนใจคือตรงมุมนี้ในวันที่เรียกว่า Equinox คือวันที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้นในช่วงเดือนปลายเดือนมีนาคมและกันยายน จะเกิดปรากฎการณ์ Chicagohenge คือการที่แสงอาทิตย์ในช่วงเย็นส่องสว่างผ่านช่องตึกจากตะวันออกไปตะวันตก ซึ่งมุมตรงนี้ก็ได้จังหวะพอดิบพอดีเลย Amazing สุดๆ
เมื่อเราเก็บภาพบรรยากาศบนสะพานจนพอใจแล้วก็เดินย้อนกลับทางเดิม ผ่าน Millennium Park ตัดลงไปตามทางเดิน BP Pedestrian Bridge ออกแบบโดยสถาปนิกที่ชื่อว่า Frank Gehry จะบอกว่าเป็นทางเดินที่สวยมากกกกก เค้าทำเป็นทางโค้งไปโค้งมาลงไปจนถึง Grant Park สวนสาธารณะที่อยู่ติดกับ Millennium Park ประดับด้วยแผ่นสแตนเลสสตีลมันวาวให้ความรู้สึกแบบโมเดิร์น เข้ากับสถาปัตยกรรมอื่นๆในบริเวณนี้ แล้วเมื่อเรามองย้อนกลับไปที่ฝั่งเมืองเราก็ได้เห็นภาพตึกหลากหลายขนาด ในวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อุณหภูมิกำลังดีไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป มันให้ความรู้สึกที่สดชื่นมาก ถึงจะเป็นวิวเมืองก็เถอะ เราว่าดูดีเพราะเป็นระเบียบ
พอเราข้ามสะพานทางเดินสวยๆนั้นมาได้แล้ว เราก็เดินตัดสวนสาธารณะมาจนเจอกับถนน Lake Shore Drive ซึ่งเราขอยกให้เป็นถนนที่สดชื่นและเป็นมิตรกับธรรมชาติแห่งหนึ่งเลย เพราะเป็นเส้นทางที่อยู่ขนานกับทะเลสาบมิชิแกนยาว 15.83 ไมล์
เมื่อเราข้ามถนนไปได้ก็จะเป็นทางสำหรับเดินและปั่นจักรยานเลียบทะเลสาบที่เรียกว่า Chicago Lakefront Trail มีความยาว 18 ไมล์ เริ่มจากบริเวณ Edgewater Beach ไล่ลงใต้ยาวไปจนถึง Jackson Park
บริเวณที่เราแวะมาเดินนี่ก็แค่ส่วนตรงกลางของทั้งหมดเท่านั้นเอง ตรงนี้จะเป็นที่จอดเรือยอร์ชของ Chicago Yatch Club ซึ่งเราจะเห็นได้แค่ในช่วงหน้าร้อนเท่านั้น พอเข้าช่วงหน้าหนาวปุ๊บ เรือยอร์ชสวยๆพวกนี้จะต้องถูกย้ายออกไป เพราะทะเลสาบมิชิแกนจะกลายร่างเป็นผืนน้ำแข็งขนาดใหญ่ และอาจจะมีพายุหิมะเข้ามา ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้กับเรือเหล่านี้ได้
เราเดินไปเรื่อยๆฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง มองภาพเรือโคลงเคลง และเมื่อบวกกับอากาศที่เย็นกำลังดีแล้ว มันเพลินมากๆ ลืมวันลืมเวลาไปเลย
นอกจากจะมีเรือยอร์ชสวยๆแล้ว บริเวณนี้ยังมีนกนางนวล เป็ด และเจ้าห่าน เจ้าถิ่นประจำเมืองนี้มาเดินเล่น เล่นน้ำ หาอาหารอยู่ตลอดเส้นทางนี้ด้วย บางทีมันก็มาเดินขอของกินจากคนที่ผ่านไปมา แบบนี้ก็ได้หรออออ
บริเวณที่เราเห็นด้านหน้านี้คือส่วนที่เรียกว่า Museum Campus ซึ่งจะประกอบไปด้วย 5 สถานที่สำคัญของเมืองชิคาโกอันได้แก่ พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์ Adler Planetarium, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ the Shedd Aquarium พิพิธภัณฑ์ the Field Museum of Natural History Soldier Field, สนามแข่ง NFL ของทีมอเมริกันฟุตบอล Chicago Bears และบางครั้งก็ใช้เป็นลานแสดงคอนเสิร์ตกลางแจ้งให้ผู้คนมาสนุกกัน และสุดท้ายนั่นคือ the Lakeside Center of McCormick Place มุมที่เห็นนี่เป็นเพียงมุมด้านหลังที่ติดทะเลสาบมิชิแกนนั่นเอง
ทางซ้ายเป็นทะเลสาบมิชิแกน ส่วนทางขวาก็เป็นส่วนของสวนสาธารณะที่เค้าจัดวางไว้เพื่อเพิ่มเติมความร่มรื่นให้กับเมืองนี้ เก๋ดีมะ ส่วนระหว่างทางก็จะเจอชาวเมืองมาเดินเล่น มาออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน พาน้องหมามาเดินเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน เราเห็นคนนึงวิ่งจ๊อกกิ้งผ่านเราไปด้วยเสื้อสีสดใส ผ่านไปไม่กี่นาทีเค้าก็วิ่งกลับมาสวนทางกับเราที่ยังคงเพลินกับการถ่ายรูป ตลกดีนะ
เมื่อเดินยาวมาเรื่อยๆผ่านหมู่มวลเรือยอร์ชทั้งหลายไปแล้ว เราก็เดินมาจนถึง Shedd Aquarium พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของเมืองชิคาโก แล้วก็ยังได้เห็นภาพเมืองแบบที่ไกลออกไป ดูดีไม่น้อยเลย
เราเดินมาเรื่อยจนถึงพิพิธภัณฑ์
ที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์จะมีรูปปั้นของ นิโคลัส โคเปอร์นิคัส นักดาราศาสตร์ในยุค Renaissance ผู้ที่ค้นพบว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาล ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติในฐานะที่นิโคลัสเป็นผู้ปฏิวัติความเชื่อให้กับวงการดาราศาสตร์สมัยใหม่
เดินเล่นไปรอบนอกมิวเซียมก็
เรานั่งอยู่ตรงนั้นเกือบชั่วโมงจนคิดว่าต้องไปแล้วล่ะ ในนาทีที่กำลังเก็บของจะกลับบ้าน เราหยิบไอโฟนที่ถือเป็นกล้องคู่ใจเสียบใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ไอโฟนมันดันไม่ลงกระเป๋า แต่เปลี่ยนเป็นตกกระแทกพื้นคอนกรี
พอเดินออกไปถึงด้านหน้ามองไปฝั่งที่เมือง โอ้โห มันสวยมาก เป็นครั้งแรกที่เห็นไฟๆจากตึกๆ แล้วก็มีแสงทไวไลท์สุดท้าย และได้เห็นภาพสกายไลน์สวยๆของเมืองชิคาโก แบบที่เคยเห็นตามอินเตอร์เน็ทด้วย บอกได้คำเดียวว่าประทับใจมาก สวยงามมากกกกก ชอบบบบ แล้วเราจะเก็บภาพนี้ยังงัยดีล่ะ ก็ลองหยิบไอโฟนจอแตกมากดชัตเตอร์ใช้งานต่อดู จิ้มๆไปสองสามที ผลปรากฎว่าเครื่องยังทำงานได้ดีอยู่ ถ่ายภาพได้ ดูปกติทุกอย่างยกเว้นหน้าจอเท่านั้นล่ะ
ปิดท้ายกันด้วยภาพนี้ เป็นมุมที่ถ่ายบริเวณ Adler Planetarium ในช่วงที่ตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ส่องแสงประกายสีทองลงมา รู้สึกดีมากเลยอ่ะ ที่เราได้ภาพเมืองชิคาโกแบบ Silhouette เท่ๆ มาด้วย
สรุป
การเดินทางในวันนี้แทบไม่ต้องใช้เงินเลยซักกะดอลล่าร์ (ยกเว้นค่าซ่อมหน้าจอไอโฟน) แถมยังเพลินบรรยากาศสดชื่นและได้ภาพสวยๆเต็มไปหมดเลย ขอเพียงแค่มีกล้ามเนื้อขาอันแข็งแกร่งเท่านั้นพอ เราเดินจาก Millennium Park มาจนถึง Adler Planetarium รวมเป็นระยะทาง 1.6 ไมล์ หรือ 2.5 กิโลเมตรเอง ชิล เอาเป็นว่าเส้นทางนี้แนะนำเลยสำหรับคนที่มีเวลาเหลือๆ
อยากอ่านข้อมูลเกี่ยวกับชิคาโก อเมริกา แบบสนุกๆตามมาดูกันให้จุใจที่นี่เลยจ้า