20 ข้อคิดที่ได้เรียนรู้จากการไปใช้ชีวิตที่อเมริกา

0
32975
ใช้ชีวิตที่อเมริกา

เวลาเพียงแค่ปีกว่าในการไป ใช้ชีวิตที่อเมริกา ทั้งเรียน ทำงานและเที่ยว ได้พบเจอผู้คนมากมายหลากหลายวัฒนธรรม ทำให้มุมมองความคิดและอะไรๆในชีวิตของเราเปลี่ยนไปเยอะมาก ได้เข้าใจโลกมากขึ้น และแน่นอนมันเกิดการเปรียบเทียบกับประเทศที่เป็นบ้านของเราเองอย่างเมืองไทย เมื่อเราต้องกลับมาใช้ชีวิตแบบเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เราจึงอยากจะส่งต่อข้อคิดที่ได้เรียนรู้เอาไว้บอกน้องๆ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่กำลังจะกลับมาอยู่บ้านและกำลังจะไปใช้ชีวิตที่นั่นให้ได้รับรู้กัน

20 ข้อคิดที่ได้จากการ ใช้ชีวิตที่อเมริกา

1.การก้าวออกไปจาก Comfort Zone เป็นเรื่องที่ต้องลองทำสักครั้งในชีวิต

ออกไปพบเจอโลกภายนอกบ้างจะได้เห็นว่าปัญหาที่เราเจออยู่นั้น มันเล็กนิดเดียวจริงๆ ชีวิตยังมีอะไรให้ออกไปค้นพบอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝัน การเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่เรียน เพียงแค่เรากล้าที่จะก้าวออกไป มุมานะแล้วทำมันอย่างเต็มที่ เพื่อที่ว่าเราจะไม่เสียใจเมื่อได้มองย้อนกลับมา

เราใช้เงินเก็บจำนวน 1 แสนบาท ออกไปแตะขอบฟ้า ทำตามความฝันแบบที่ยืนด้วยขาตัวเองล้วนๆ เป็นการก้าวออกจาก Comfort Zone ที่พีคมากๆ ไปไกลถึงอีกซีกโลกเพื่อที่จะค้นหาความหมายของชีวิตว่าเราต้องการอะไรกันแน่ ถ้าถามว่าเจอมั้ย ก็ตอบเลยว่าไม่เจอ แต่มันกลับทำให้เราได้เห็นตัวเองชัดขึ้น ได้ค้นพบว่าในตัวเรานั้นมีดีอะไร และคุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่ตรงไหน

2.การได้ค้นพบว่าโลกเรายังมีความหลากหลายอีกมาก

มากกว่าแค่คำว่า “คนจน” กับ “คนรวย” มันยังมีเรื่องสีผิว เชื้อชาติ วัฒนธรรม อาหารการกิน และอื่นๆอีกมากมายที่เราควรจะไปทำความรู้จักและทำความเข้าใจกับมัน ซึ่งจะทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นทั้งทางด้านความคิด ทัศนคติ และการใช้ชีวิต ไม่ตัดสินว่าคนคนนั้นดีหรือไม่ดีจากเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เมื่อเราเข้าใจมันก็จะยิ่งทำให้เราเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้นและสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข

จะยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องนึง ตอนที่เรากำลังเดินไปเรียนแถวดาวน์ทาวน์ในมืองชิคาโก เราเดินผ่าน Homeless (คนไร้บ้าน) คนนึง เราก็มองเค้าด้วยสายตาแบบเหยียดเล็กน้อย ผสมกับความกลัวว่าเค้าจะมาขอเงิน ในช่วงนั้นอากาศก็เย็นมาก เราเลยจามออกไปหนึ่งที แล้วเราก็ได้ยิน Homeless คนนั้นพูดกับเราว่า Bless you! คำนี้ฝรั่งเค้าใช้เป็นธรรมเนียมเวลาที่มีใครจาม เหมือนกับบอกว่า ขอให้พระเจ้าอวยพร หรือจะหมายถึง ขอให้หายไวๆ ก็ได้ เราเลยคิดได้ว่า โห ขนาด Homeless ที่เรามองเค้าเป็นคนชนชั้นที่ต่ำกว่า เค้ายังทักเราด้วยคำพูดดีๆเลย แล้วทำไมเราถึงต้องมองเค้าแบบแบ่งแยกขนาดนั้นด้วยนะ จากนั้นมาเลยต้องพยายามเปลี่ยนทัศนคติในการมองคนซะใหม่ รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Empathy ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นให้มากขึ้นกว่าเดิม

3.การได้พบว่าการไปเที่ยว กับการไปใช้ชีวิตความรู้สึกต่างกันอย่างสุดขั้ว

เวลาไปเที่ยวแบบไปแป๊บๆแล้วกลับ มันไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ก็แค่เอาเงินที่เก็บมาใช้ซื้อความสุขแบบชิลๆ อยากกินอะไรก็กิน อยากทำอะไรก็ทำ แต่กับการมาใช้ชีวิตต้องคิดเสมอว่าจะหมุนเงินยังไงให้มีเพียงพอใช้จ่ายในแต่ละเดือน ต้องวางแผนการใช้จ่ายและการหาเงินให้เข้มงวดมากขึ้น และแน่นอนว่ามันมีความเครียด ความกดดันตลอดเวลา เป็นสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ว่ามันต่างกันจริงๆ แต่มันก็ให้ความสนุก ท้าทายและเพิ่มรสชาติให้ชีวิตไปอีกแบบนึง

4.การได้ค้นพบว่าเมืองไทยโคตรโชคดีเลย

เมืองไทยเป็นเมืองที่มีสภาพอากาศดีทั้งปี เชื่อมั้ยว่าอากาศหนาวนั้นมันทรมานมากๆ และไม่ได้สนุกอย่างที่คิด ถ้าไม่เชื่อก็ลองมาใช้ชีวิตที่ชิคาโกดูสิ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าหนาวววววมากเมืองนึงในอเมริกา จะเข้าใจสัจธรรม และรู้ซึ้งถึงความสุขของการได้อยู่เมืองไทยอากาศแบบอุ่นๆค่อนไปทางร้อนตลอดทั้งปี และยังมีอาหารที่สมบูรณ์เพียบพร้อม มีทั้งความจัดจ้านและความซับซ้อนทั้งในเรื่องของรสชาติ กลิ่นและความแซ่บสะเด็ด ที่ไม่ว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนก็ต้องโหยหาถึงสิ่งนี้ตลอดเวลา แถมเรื่องค่าครองชีพยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้ามีบ้านเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เสียแค่ค่ากินอย่างเดียวนี่ ยังไงก็เหลือเฟือ

5.การได้ไปโรงเรียนแบบ International จริงๆ

โรงเรียนที่เราได้ไปเรียนมีแค่อาจารย์ที่เป็นคนอเมริกัน ที่เหลือนักเรียนเป็นคนที่มาจากทั่วโลก อย่างเช่น ไทย ยูเครน รัสเซีย มองโกเลีย เกาหลี อินเดีย ปากีสถาน ตุรกี มอนโดวา เป็นต้น ซึ่งในตอนแรกเราคิดว่าเราจะได้เจอแต่ฝรั่งหัวทอง แต่สิ่งที่พบจริงๆกลับกลายเป็นคนนานาชาติ และแน่นอนว่าด้วยความหลากหลายขนาดนี้ ภาษาเดียวที่จะคุยกันรู้เรื่องก็คือ ภาษาอังกฤษ ถึงจะงูๆ ปลาๆ บางทีก็ไม่รู้เรื่อง แต่เรามีตัวช่วย นั่นคือ คอมพิวเตอร์และ Google Translate ที่ทำให้เราสามารถเข้าใจกันได้ไม่ยาก และที่สำคัญคือมันทำให้เราได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน อย่างเช่นเรื่องภูมิประเทศ ศาสนา และการเมือง ทำให้เราได้เข้าใจพวกเค้ามากขึ้นไปอีก อยากรู้เรื่องราวการเรียนภาษาแบบเต็มๆ มาที่นี่ได้เลย

6.การได้ลด EGO และการ Discriminate

มันคือการลดทิฐิ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง และการเลิกมองคนแบบแบ่งแยก อย่างเช่นว่า ชั้นเก่ง แต่เธอไม่เก่ง การมองว่าคนชาติอื่นไม่ดีเท่าชาติเรา สิ่งที่เราได้เจอคือ ตอนที่เรียนภาษาแล้วมีการสอบมิดเทอม คะแนนเต็ม 40 เราได้ 32 เค้าตัดเกรดออกมาที่ B แต่เพื่อนที่เป็นคนปากีสถาน นางได้ 38 งี้ แล้วได้ A นางก็บอกว่าทำไมยูไม่มานั่งข้างๆชั้นล่ะ จะได้ให้ลอกได้ เราก็แบบ เฮ้ย นางเจ๋งว่ะ เลยต้องเปลี่ยนมุมมองคนประเทศนี้ใหม่หมดเลยรวมไปถึงเพื่อนชาติอื่นๆด้วย และคิดเสมอว่าตัวเรานั้นไม่ได้เก่งมาจากไหนหรือเก่งกว่าใครๆเลย

7.การได้เจอ Culture Shock แบบไทยสไตล์

เนื่องด้วยว่าตอนที่เราไปนั้น เราโชคดีที่มีเพื่อนคนไทยอยู่ที่นั่นเลยไม่เกิดอาการ Homesick หรือ Culture Shock แบบทั่วๆ ไปซักเท่าไหร่ เพราะมีเพื่อนคอยคุยด้วยและให้คำแนะนำในทุกๆ เรื่อง แต่สิ่งที่ต้องปรับตัวใหม่เหมือนการรับน้องเลยคือ การเปลี่ยนอาชีพตัวเองจาก Graphic Designer เท่ๆ มาเป็นเด็กเสิร์ฟ ซึ่งมันช่างท้าทาย EGO ของเรามากๆ

ตอนที่ไปอยู่ชิคาโก 7 วันแรก เราน้ำตาร่วงเลยนะ ไม่เคยรู้สึกแย่กับชีวิตขนาดนั้นมาก่อน แย่แบบที่ว่า เฮ่ย ทำไมกุต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้เนี่ย นี่คิดอะไรอยู่ เป็นกราฟฟิกอยู่ดีๆ ไม่ชอบหรือไง ทำไมต้องมาเดินเสิร์ฟอาหาร โดนเจ้าของร้านด่าเพราะทำอะไรไม่เป็น ต้องมาคอยเอาใจลูกค้า ถูพื้นและล้างส้วมทั้งๆที่อยู่บ้านก็ไม่เคยช่วยแม่ทำ ดราม่าร้องไห้ ระบายให้เพื่อนฟัง จนเพื่อนถามว่าไหวมั้ย จะกลับบ้านมั้ยล่ะ

แต่ทุกคนที่มาที่นี่ไม่ว่าจะเป็นน้องๆ ที่เพิ่งมาเรียน เพื่อนที่กำลังเรียนปริญญาโท พี่ที่เรียนจบโทบัญชีมา ก็ทำงานแบบนี้ได้กันหมดนะ เป็นทั้งงานหลักและงานเสริม มันเป็นอะไรที่จี้จุดมากๆเลย เหมือนเพื่อนกำลังพูดว่า “อ่อนว่ะ แค่นี้ก็ทำไม่ได้” สุดท้ายเลยต้องปรับตัวซะใหม่ เปลี่ยนทัศนคติจนทำให้เราสามารถใช้ชีวิตต่อในอเมริกาได้อย่างแฮปปี้จนมีเรื่องมาเล่าให้เพื่อนๆฟังอย่างเยอะนี่ล่ะ

8.การได้เรียนรู้ว่าอาชีพเสิร์ฟอาหารนั้น มันไม่ง่ายเลย

ไม่ใช่ว่าแค่ฟังภาษาอังกฤษออกแล้วจะรอด ยังมีสกิลอีกหลายอย่างที่เราต้องฝึกๆๆแล้วก็ฝึก ไม่ว่าจะเป็นการจำเมนูและส่วนผสมของอาหารที่เป็นภาษาอังกฤษ การรับออเดอร์ การพูดคุยกับลูกค้า การรับโทรศัพท์และจัดการกับออเดอร์ให้เร็วที่สุด การเดินเร็วๆพร้อมจานอาหารหนักๆ และสุดท้ายคือการจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าสารพัดอย่างให้ผ่านไปได้ด้วยดี เราต้องใช้เวลาเรียนรู้เป็นเดือน และฝึกความคล่องอีกเกือบ 2 เดือนกว่าจะทำทุกอย่างได้ครบถ้วน

9.การได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับสังคมไทยๆ เป็นสิ่งที่ดีนะ

บางคนชอบบอกว่าอย่าอยู่กับคนไทยเยอะ เดี๋ยวจะไม่มีพัฒนาการทางด้านภาษา และไม่ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ แต่เมื่อเราได้อยู่ๆไปก็พบว่ามันต้องหาสมดุลซึ่งกันและกันมากกว่า มีเพื่อนคนไทยก็ช่วยให้ไม่เหงา มีเพื่อนต่างชาติก็จะรู้จักกับมุมมองทางความคิดต่อโลกนี้ในแง่อื่นๆบ้าง และที่สำคัญคือคนไทยดีๆ มีเยอะแยะไป เรากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าเจอแต่กัลยาณมิตรทั้งนั้น หลายๆคนพร้อมที่จะช่วยเหลือแบ่งปันกัน ทั้งเรื่องสุขเรื่องทุกข์ น้องๆที่ได้เจอก็น่ารักและยังคงเป็นเพื่อนกันมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีกแน่ๆ

10.การเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน

การใช้ชีวิตในอเมริกานั้นมีแต่เรื่องน่าตื่นเต้น ยิ่งถ้าเป็นคนชอบเดินทางนี่ยิ่งคูณสองเลย เพราะไม่มีใครใช้ภาษาเดียวกับเรา ต้องพยายามสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ทำให้สมองต้องทำงานหนักและประมวลผลออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปได้

เราเคยขึ้นเครื่องบินไฟล์ทจาก LA ไปไทเปเพื่อจะกลับบ้านที่เมืองไทย เนื่องจากเที่ยวบินดีเลย์ เครื่องเช็คอินอัตโนมัติไม่ทำงาน และเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เครื่องบินจะเทคออฟ แต่เรายังไม่สามารถเอาตัวเองไปเช็คอินผ่าน ตม เพื่อไปยังจุดต่อไปได้ และคิวก็ยาวมาก นาทีนั้นต้องอ้าปากถามคนที่อยู่ข้างหลังว่า ทำยังไงดี เราไปสายการบินเดียวกันรึเปล่า แล้วก็ได้คำตอบว่ายังมีคนที่มาพร้อมๆกับเราที่ยังไม่ได้เช็คอินอีกเยอะ สุดท้ายก็คิดได้ว่า เอาวะ ไม่ใช่เราคนเดียวที่จะตกเครื่อง ถ้าไปไม่ทันก็ยังมีเพื่อนอีกเยอะเนี่ยล่ะ อย่ากังวลไปเลย และแล้วเราและเพื่อนร่วมทางอีกหลายคนก็ไปทันไฟลท์นั้นเพราะเจ้าหน้าที่มาช่วยเคลียร์ให้ โอเค รอบนี้รอดตัวไป

11.การมีความกล้า พร้อมที่จะคุยกับคนแปลกหน้าอยู่เสมอ

สังคมฝรั่งดีตรงที่ทุกคนพร้อมที่จะพูดคุย ทักทายแม้จะไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน อย่างเช่น ช่วงเดือนแรกที่เราไปอยู่ เราแวะไปช็อปปิ้งเบาๆที่ Forever 21 กำลังเลือกรองเท้าอย่างตั้งใจ ลองคู่นั้น เปลี่ยนคู่นี้ บังเอิญว่าได้ลองสวมคู่นึงเป็นสไตล์ที่เราชอบ และคิดว่ามันดูดี ปรากฏว่ามีผู้หญิงผิวสีคนนึง (เราจะเรียกกันในหมู่คนไทยว่า พี่มืด)

เค้าทักเราเหมือนรู้จักกันมานานว่า Oh My God! That’s look great. It’s really suit you. You should get it. แปลว่า ว้ายตายแล้ววว มันดีมากเลย เหมาะกับเธอสุดๆ เธอต้องซื้อนะ ว่าแล้วนางก็หยิบคู่ที่เหมือนของเรามาลองมั่ง แล้วก็พบว่ามันไม่ได้เข้ากับเค้าเลย อาจจะด้วยสีผิวที่มันตัดกับรองเท้าเกินไป เราก็งงๆไปพักนึง อะไรของนางวะ ไม่ได้รู้จักกัน มาชวนคุยทำไม นี่ก็ได้แต่ยิ้ม แล้วก็ตอบไปตามมารยาทว่า Oh really! Thanks a lot จริงหรอ ขอบใจมากจ้า สุดท้าย เราก็คว้ารองเท้าคู่นั้นมาครองจนได้ ตอนที่จ่ายตังเสร็จแล้วเดินผ่านเค้า เลยบอกเค้าไปว่านี่ชั้นซื้อตามที่เธอแนะนำแล้วนะ นางก็บอกว่า แล้วเธอจะไม่ผิดหวัง

12.การได้เข้าใจว่าสภาพแวดล้อมที่ดี มีผลต่อสภาพจิตใจมาก

เราใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชิคาโก ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีการคมนาคมที่สะดวกมาก มีรถไฟทั่วและรถบัสถึงและวิ่งให้บริการตลอดเกือบ 24 ชั่วโมง แถมยังถูกออกแบบมาอย่างดีไม่ให้งงด้วย ทำให้ทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปทำธุระต่างๆมีความสะดวกและไม่ต้องหงุดหงิด สุขภาพจิตเสียกับภาวะรถติดด้วย มันทำให้เราเกิดการเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตในเมืองไทยได้อย่างชัดเจนเลย

ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังมีผังเมืองที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ความเป็นอยู่ของคนในเมืองเป็นไปในทางที่ดีขึ้น มีสวนสาธารณะ ลานอเนกประสงค์ใหญ่ๆ ทางเดินเลียบริมแม่น้ำและทะเลสาบที่ทำไว้ให้คนได้มาเดินเล่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ออกกำลังกายผ่อนคลายอารมณ์กัน ช่วยลดภาวะกดดันและความเครียดได้เป็นอย่างดี

13.การได้เห็นความแตกต่างของพ่อแม่ฝรั่งในการเลี้ยงดูลูก

เราไปเดินเล่นงาน Event งานนึงที่จัดขึ้นในหน้าร้อน ซึ่งงานจัดที่สวนสาธารณะแถว Western ในเมืองชิคาโก มีคนมาเที่ยวงานเยอะแยะมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อแม่พาเด็กๆมาเที่ยว ที่บริเวณหน้างานจะมีน้ำพุที่เปิดให้มันพุ่งๆแค่ในหน้าร้อนเท่านั้น ตรงนี้ก็มีเด็กๆให้ความสนใจกันเยอะมาก มาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เล่นไปกรี๊ดไป

เราก็ยืนดูเค้าเล่นกันเพลินๆ แล้วจู่ๆน้องผู้หญิงคนนึง อายุประมาณ 7 ขวบก็ลื่นล้มลง เข่ากระแทกพื้น นางร้องไห้จ๊ากเลย เรียกหาพ่อให้มาดู เราก็มองหาพ่อของน้องว่าอยู่ไหน คิดในใจว่าเค้าจะต้องวิ่งมาพยุงลูกให้ลุกขึ้นแล้วก็โอ๋น้อง แต่ปรากฏว่าพ่อนางยืนดูเฉยๆเว่ย ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ส่วนน้องคนนั้น เมื่อพ่อไม่สนใจนางก็หยุดร้องไห้ ลุกขึ้นมาจากพื้น พร้อมกับเข่าและมือเลอะๆ ไปเล่นน้ำพุกับเพื่อนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ๋งว่ะ ล้มแล้วก็ต้องลุกเอง ไม่มีใครช่วยได้ตลอดหรอกนะ พ่อของน้องคงพูดในใจแบบนี้ล่ะมั้ง

14.การที่ได้รู้ว่าผู้หญิงที่จะมีคู่ได้นั้น ไม่จำเป็นต้องสวยและหุ่นดีเสมอไป

เราเคยมองว่าคนที่เค้ามีคู่ สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ต้องเป็นคนที่หน้าตาดีและหุ่นดี แต่สิ่งที่เราได้เห็นจากที่อเมริกานี้คือ มันไม่จำเป็นเลย เรื่องรูปร่างไม่ใช่เรื่องสำคัญในการมีคู่ เราเคยเจอคุณแม่ที่มีรูปร่างใหญ่กว่าเราสองเท่าผิวสี และมีลูกสองคนมาด้วย คำว่าสวยนี่ห่างไกลมากๆ แค่ภาพนั้นภาพเดียวทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่าสาระมันคงไม่ได้อยู่ที่รูปร่างภายนอกแล้วล่ะ คงเป็นเรื่องในแง่อื่นๆซะมากกว่า และการที่อยู่เป็นโสดก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ถ้าเรามีคุณค่าในตัวเอง ภูมิใจในสิ่งที่เป็นและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

15.การได้รู้ซึ้งและตกผลึกกับคำว่า Active Income

เราเลือกที่จะไปใช้ชีวิตที่อเมริกาเพื่อประสบการณ์ใหม่ๆและรายได้ที่สูงขึ้น ซึ่งการเป็นเด็กเสิร์ฟนั้นตามความรู้สึกของเรามันเหมือนงานรับจ้าง หรืองาน Freelance นั่นเอง รายได้เฉลี่ยอยู่ที่วันละ $100 วันไหนไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน ค่าใช้จ่ายที่อเมริกาก็สูง ค่าเทอมก็มี

นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถที่จะหยุดวิ่ง หรือหยุดทำงานได้เลย เป็น Active Income แบบชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เหมือนได้เห็นภาพตัวเองในอนาคตว่าในวันที่เรามีรายได้ 60,000 บาทต่อเดือนที่เมืองไทย เราก็คงจะมีชีวิตไม่ต่างจากนี้ ซึ่งมันไม่สนุกเลยนะ สิ่งนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เราอย่างนึงที่ทำให้เราต้องเร่งพัฒนาตัวเอง ศึกษาความรู้ใหม่ๆที่กำลังเป็นที่ต้องการสำหรับโลกอนาคต และต้องไม่เอาตัวเองไปผูกมัดกับการสร้างรายได้มากนัก ซึ่งมันมีอยู่จริงถ้าเราพยายามมองหามัน

16.การได้เข้าใจว่า Reverse Culture Shock ไม่ใช่เรื่องกระแดะ

แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเราเช่นกัน ภาวะนี้คือการปรับตัวทางด้านอารมณ์และจิตใจเพื่อให้คุ้นเคยกับบ้านเกิด เราว่างงานอยู่ 3 เดือน เป็นช่วงเคว้งคว้าง หางานทำไม่ได้ เราค่อยๆรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าไปทีละนิดๆ แต่ก็ยังไม่เป็นอะไรมาก และเมื่อได้กลับเข้าไปทำงานประจำปุ๊บ เหมือนคนมีปัญหาเลยอ่ะ รู้สึกแย่กับชีวิตมากๆ รับไม่ได้กับทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้น คิดแต่ว่าทำไมเราต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้อีกแล้ว

เจอปัญหารถติดที่ไม่ได้เจอมาเป็นปี ต้องทนกับการก่อสร้างในกรุงเทพที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทำงานเดิมๆที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลยซักนิด รู้สึกเบื่อชีวิตมาก ไม่มีอะไรสนุกสำหรับเราเลย ไม่รู้จะหาทางออกยังงัย แล้วสุดท้ายเราก็ไปอารมณ์เสียใส่แม่จนแม่ไม่อยากคุยด้วย แล้วน้องก็มาให้สติกับเราว่าแกไม่ปกตินะ แกเป็นภาวะนี้รึเปล่า แกต้องยอมรับมันซะแล้วก็ปรับปรุงตัว เราก็เลยมาอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็พบว่าเรามีอาการทุกอย่างเหมือนที่เค้าเขียนไว้เลย

เราเลยแก้ปัญหานี้ด้วยการออกไปทำอะไรที่มันท้าทายอีกครั้ง นั่นคือการไปงานสัมนา Nomad Summit ที่ไม่มีคนไทยซักคนเดียว มีคนมาจากนานาชาติประมาณ 350 คน ค่าบัตรก็แพ้งแพง ที่สำคัญคือเราไปงานนี้คนเดียว เราได้คุยกับคนต่างชาติหลายๆคน แล้วก็พบว่าภาษาอังกฤษก็ยังโอเคอยู่นะ และชีวิตก็ไม่ได้หนีเราไปไหน ซึ่งหลังจากจบงานนั้น ความมั่นใจในตัวเองเริ่มกลับมา ทัศนคติที่เรามองเมืองไทยก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะพวกเขาเหล่านั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบเมืองไทยมากๆ กลายเป็นว่าเราต้องปรับทัศนคติใหม่ให้ตัวเองในการมองประเทศนี้ ทำให้ตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น และพยายามปรับตัวให้เข้ากับเมืองไทยใหม่อีกครั้ง

17.ชีวิตต้องวางแผน

เหตุผลหลักที่ทำให้เราตัดสินใจไปอเมริกานั่นคือ เงินนนน ตั้งใจว่าจะไปใช้ชีวิตซัก 3 ปี เก็บเงินล้านนึงกลับบ้าน แต่พอเอาเข้าจริง ทุกอย่างมันไม่เป็นตามแผนเลย เริ่มต้นก็ไม่ค่อยโอเคแต่ก็ประคับประคองมาได้ รายได้ต่อเดือนก็ไม่เป็นไปตามเป้า หารายได้แบบที่พออยู่ได้ซึ่งก็ต้องรวมค่าใช้จ่ายอย่างค่าบ้าน ค่าเทอม ค่ากิน และการไปเที่ยวหาประสบการณ์บ้าง

พอหมดเวลาของการใช้ชีวิตแบบนั้น ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน แต่ไม่ได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้ว่ากลับมาจะสมัครงานอะไร ใช้ชีวิตแบบไหน แล้วจะได้งานทำเมื่อไหร่ มันเลยทำให้ชีวิตรวนๆอยู่พักนึง เสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินไปหลายเดือนเลยล่ะ กว่าจะจับจุดได้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไปดี เราก็เลยอยากบอกว่าคิดให้ดีๆนะก่อนจะตัดสินใจทำอะไร เพราะบางอย่างมันย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็เก็บเงินเยอะๆ และเก็บประสบการณ์+รูปภาพไว้เยอะๆละกัน เผื่อว่าวันนึงมันอาจจะเอามาใช้ประโยชน์ได้แบบที่เราพยายามทำอยู่นี้

18.เมืองไทยเปลี่ยนไปเร็วมากๆ

ระหว่างที่ไม่อยู่ปีกว่าๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้เราตั้งตัวไม่ทัน โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย อยู่ๆตลาดก็เปลี่ยนจากการขายสินค้า SME ขายขนม มาเป็นการขายคอร์สสร้างความร่ำรวยกันแทน แต่ในอเมริกาสังคมแบบที่เราได้สัมผัสคือธุรกิจร้านอาหาร ที่ดูยังงัยก็ไม่น่าจะต่างจากเมื่อ 10 ปีที่แล้วเท่าไหร่

มีเพียงเรื่องเทคโนโลยีที่ช่วยให้การซื้อขายอาหารง่ายขึ้นมาก นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า Grubhub มีทั้งบริการกดสั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่น ซึ่งที่ร้านอาหารส่วนใหญ่จะต้องติดตั้ง Tablet และบริการจาก Grubhub ทั้งนั้น คนไหนขี้เกียจก็แค่กดสั่งอาหารในบริเวณ Neighborhood หรือละแวกบ้านไม่เกิน 5 ไมล์ จะมีคนมาส่งถึงที่ เราทำหน้าที่แค่จ่ายตังเท่านั้น ซึ่งบางคนก็จ่ายผ่านแอพ ด้วยการตัดบัตรเครดิตไปเลย

นั่นหมายความว่าการที่เราไปอยู่ต่างแดนนานๆ แล้วคิดว่าอยากจะกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย อย่างน้อยก็ต้องตามเทรนด์ของสังคมไทยให้ทัน ไม่งั้นก็จะถูกทิ้งกองไว้ตรงนั้นอย่างไม่มีใครเหลียวแลแน่ๆ

19.ทำธุรกิจของตัวเองดีกว่าหางานประจำ

ช่วงที่เราได้กลับไปทำงานประจำแบบงงๆ เรารู้สึกเครียดและแปลกแยกมากเลย มีแต่คำถามว่าทำไมมันไม่เป็นแบบนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ และทำไมเราถึงดูห่วยจัง รู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา แต่พอเริ่มปรับตัวได้ หาทางออกให้ตัวเองได้ก็เลยคิดว่าอยากจะแนะนำให้คนที่พอจะมีทุนอยู่บ้างไปทำธุรกิจของตัวเองดีกว่า เอาไอเดียดีๆ ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆที่เราได้ไปสัมผัสกัน มาปรับใช้กับธุรกิจของเราเองโดยเริ่มจากธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินทุนสูงมาก แล้วค่อยๆพัฒนาต่อให้มันเติบโตก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดี

และในเมื่อมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในประเทศที่เป็นผู้นำเทรนด์ของโลกขนาดนี้แล้ว ทำไมเราไม่ลองศึกษาเทคโนโลยีอย่างพวกแอพพลิเคชั่นเจ๋งๆ ที่เราชอบและช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตเรา นำมาปรับใช้กับบ้านเราดูมั่งล่ะ เรื่องเทคโนโลยีนี่เป็นอะไรที่ต้องรู้ และสามารถเปลี่ยนชีวืตเราไปได้เลยนะ ถ้าเรารู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้จริงๆ

ถ้าใครยังไม่พร้อมกับการทำธุรกิจก็แนะนำให้สมัครงานในบริษัทอินเตอร์ที่ได้ทำงานกับชาวต่างชาติจะช่วยให้รู้สึกว่ายังมีพื้นที่สำหรับเราอยู่นะ และคิดไม่ผิดที่กลับมาอยู่เมืองไทย เพราะที่นี่ยังไงก็บ้านเรา ยังมีเรื่องราวให้เราได้เรียนรู้อีกเยอะ

20.ภาษาอังกฤษคือใบเบิกทางชั้นดี

อาจจะไม่ต้องถึงขั้นว่าได้ใบเซอร์ หรือได้ดีกรีดีๆมาประดับบ้านก็ได้ แค่ให้เข้าใจและสามารถสื่อสารได้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดแล้วล่ะ ภาษาอังกฤษเหมือนเป็นสะพานเชื่อมให้เราไปเจอกับโลกใบใหม่ที่ไม่ค่อยคุ้น ถ้าเราอยากตามทันเทรนด์ของสังคมระดับอินเตอร์เราก็ต้องใช้ภาษาให้คล่องโดยเฉพาะการอ่านและฟังคอนเท้นท์ที่มีสาระดีๆ ที่มีให้อ่านกันฟรีๆอยู่เสมออย่างเช่น Ted x Talk หรือจะเป็นเรื่อง Make money online เรื่อง Blogging และการทำงานแบบ Remote Work เชื่อสิว่ามันจะทำให้เราขยับไปอยู่ในอีกเลเวลนึงได้

สรุป

และนี่คือ 20 ข้อคิดที่อยากจะบอกสำหรับคนที่กำลังคิดจะไป ใช้ชีวิตที่อเมริกา คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ และคนที่กำลังคิดจะกลับบ้านที่เมืองไทย เราอยากให้เก็บประสบการณ์และบทเรียนที่ไม่ว่าจะร้ายหรือดีเอาไว้สอนตัวเองให้เป็นคนที่เก่งขึ้น พร้อมจะสู้กับปัญหา อย่าลืมหาความรู้อัพเดทให้ตัวเองอยู่เสมอเพราะโลกเราเปลี่ยนไปเร็วจริงๆ สิ่งที่เคยขายได้ในวันนี้ อีกหนึ่งเดือน 6 เดือนก็อาจจะขายไม่ได้แล้ว และอย่าลืมวางแผนให้ชีวิตตัวเอง อยากจะทำอะไรก็ต้องเริ่มปูทางสร้างมันซะตั้งแต่วันนี้เลยเพราะกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวเช่นใด ชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

สร้างเว็บบล็อกสำหรับบันทึกชีวิตตัวเอง เก​็บไว้เป็นความทรงจำดีๆที่เคยเกิดขึ้น ทางนี้เลยจ้า